You are currently viewing หลักการและวิธีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

หลักการและวิธีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

หลักการและวิธีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)   
                                                                                                                                                                                                                                           เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวิช นาคแป้น

ในยุคที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” (Carbon Footprint for Organization: CFO) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดผลกระทบจากกิจกรรมขององค์กรที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) สู่ชั้นบรรยากาศ การประเมิน CFO ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) จึงเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทยก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ใส่ใจต่อความยั่งยืนและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยเฉพาะในบริบทของการค้าระหว่างประเทศที่มีมาตรการจำกัดการปล่อยคาร์บอน (เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป)

ความหมายของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงาน การขนส่ง การจัดการของเสีย หรือกิจกรรมทางธุรกิจอื่น ๆ โดยแสดงออกในรูปของ “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” (tCO₂e) ซึ่งคำนวณโดยใช้ “ศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน” (Global Warming Potential: GWP) ของแต่ละชนิดของก๊าซ.

หลักการพื้นฐานของการจัดทำ CFO

การจัดทำ CFO จะต้องยึดหลักการสำคัญ 5 ประการของ อบก. ได้แก่:

  1. Relevance (ความตรงประเด็น): เลือกข้อมูลและแหล่งปล่อยที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์
  2. Completeness (ความสมบูรณ์): ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
  3. Consistency (ความไม่ขัดแย้ง): ข้อมูลต้องสามารถเปรียบเทียบได้
  4. Accuracy (ความถูกต้อง): ลดความไม่แน่นอนและอคติ
  5. Transparency (ความโปร่งใส): เปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอและตรวจสอบได้

ขั้นตอนการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

อบก. กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานไว้ 8 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: กำหนดขอบเขตขององค์กร (Organizational Boundary)

องค์กรต้องกำหนดว่า จะใช้แนวทางใดในการระบุขอบเขต ได้แก่:

  • Control Approach: ควบคุมด้านการดำเนินงาน (Operational) หรือการเงิน (Financial)
  • Equity Share Approach: ปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ที่องค์กรถืออยู่ในแต่ละหน่วยธุรกิจ

ขั้นตอนที่ 2: กำหนดขอบเขตการดำเนินงาน (Operational Boundary)

แบ่งแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ขอบเขต:

  • Scope 1: การปล่อยโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง
  • Scope 2: การปล่อยทางอ้อมจากการซื้อพลังงาน เช่น ไฟฟ้า
  • Scope 3: การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ เช่น การเดินทางของพนักงาน การจัดซื้อวัตถุดิบ

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์แหล่งปล่อยและดูดกลับ GHG

ต้องระบุแหล่งปล่อยหรือดูดกลับที่เกี่ยวข้อง โดยแยกเป็นประเภทต่าง ๆ และพิจารณาความมีนัยสำคัญของแต่ละแหล่งปล่อย.

ขั้นตอนที่ 4: เก็บข้อมูลกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

เช่น ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ หน่วยไฟฟ้าที่ใช้ ปริมาณขยะ ฯลฯ โดยต้องจัดเก็บอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานรองรับ

ขั้นตอนที่ 5: คัดเลือกค่า Emission Factor

ใช้ค่า EF จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น IPCC หรือฐานข้อมูลที่ อบก. กำหนด (เช่น EF TGO AR5).

ขั้นตอนที่ 6: คำนวณปริมาณ GHG

การคำนวณแต่ละ Scope ใช้สูตร:
ปริมาณกิจกรรม × Emission Factor × GWP = ปริมาณ GHG (tCOe)
ตัวอย่างเช่น การใช้น้ำมันดีเซล 1,000 ลิตร × EF 2.6 kgCO₂e/litre = 2.6 tCO₂e

ขั้นตอนที่ 7: รายงานผลการประเมิน

ต้องจัดทำเอกสารและแบบฟอร์มตามที่ อบก. กำหนด เช่น:

  • รายงานการปล่อย GHG
  • Verification Sheet
  • แบบฟอร์ม Fr-01 ถึง Fr-05

ขั้นตอนที่ 8: การทวนสอบ (Verification)

เป็นการประเมินความถูกต้องโดยหน่วยงานทวนสอบภายนอกที่ได้รับการรับรองจาก อบก. โดยมีระดับการรับรอง 2 ระดับ คือ Reasonable และ Limited.

ตัวอย่างกรณีศึกษา: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

จากการประเมิน CFO ในปีการศึกษา 2554 พบว่า ปริมาณการปล่อย GHG รวม 42,243.62 tCO₂e โดยมาจาก:

  • Scope 1 (19%): เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง สารทำความเย็น
  • Scope 2 (78%): ไฟฟ้าที่ใช้ในมหาวิทยาลัย
  • Scope 3 (3%): น้ำประปา การใช้กระดาษ เป็นต้น.

ผลการประเมินชี้ให้เห็นว่า การใช้พลังงานไฟฟ้ามีสัดส่วนการปล่อย GHG สูงสุด จึงควรมุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การแข่งลดการใช้ไฟ เป็นต้น

ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดทำ CFO

  • ลดความเสี่ยงจากกฎระเบียบต่างประเทศ เช่น CBAM ของ EU
  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร และส่งเสริมการเป็นองค์กรสีเขียว
  • เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนลด GHG และวัดความก้าวหน้าในการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน
  • ส่งเสริมการตัดสินใจด้านการลงทุนและจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีความรับผิดชอบ

บทสรุป

การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรตามแนวทางของ อบก. ไม่เพียงเป็นกลไกในการติดตามและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์สำหรับองค์กรที่มุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยแนวทางที่มีหลักวิชาการ มีมาตรฐานรองรับ และสามารถต่อยอดสู่การรายงานความยั่งยืนในระดับสากลได้

หากประเทศไทยสามารถผลักดันให้องค์กรภาครัฐและเอกชนประเมิน CFO ได้อย่างแพร่หลาย จะส่งเสริมให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อย GHG ได้อย่างเป็นรูปธรรม และยืนหยัดบนเวทีโลกในฐานะประเทศที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง

แบบประเมินผลความพึงพอใจจากผู้อ่าน

https://forms.gle/4mp3oSctxv8uw4hg8